Last updated: 6 พ.ย. 2568 | 24 จำนวนผู้เข้าชม |
"แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง" หรือ "เขาแค่แกล้งกันสนุก ๆ" คือประโยคที่เรามักได้ยินผู้ใหญ่ใช้เมื่อเห็นเด็ก ๆ มีปัญหากัน แต่เคยถามไหมว่า สำหรับเด็กที่ถูกแกล้ง...มันสนุกจริงหรือ? บทความนี้จะกลั่นกรองประเด็นสำคัญจากการเสวนาโดยจิตแพทย์เด็ก พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต .และนักการศึกษาผู้มากประสบการณ์ ครูแพร อรัญญา จิตติถาวร โรงเรียนอำนวยศิลป์ และครูทิว ธนวรรษ์ สุวรรณปาล นักวิชาการอิสระ เพื่อเปิดเผยมุมมองและความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการบูลลี่ในโรงเรียน ที่เราอาจมองข้ามไป
❖ 1. เส้นแบ่งที่ชัดเจน: สนุกทั้งสองฝ่ายจริงหรือ?
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง "ล้อเล่น" กับ "รังแก" อยู่ที่ความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด พญ. วิมลรัตน์ วันเพ็ญ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ได้ให้คำจำกัดความที่ชัดเจนว่า การล้อเล่นที่แท้จริงต้องเป็นเรื่องสนุกสำหรับทุกฝ่าย หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกเจ็บปวด ไม่สนุก หรือตกเป็นเป้าหมายซ้ำ ๆ สิ่งนั้นได้ข้ามเส้นจากการล้อเล่นไปสู่การรังแกแล้ว แม้ว่าผู้กระทำอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ล้อเล่น คือ ต้องสนุกทั้ง 2 ฝั่ง แต่ถ้าล้อเล่น แล้วอีกฝั่งหนึ่งไม่สนุก รู้สึกแย่ แล้วเป็นสิ่งที่โดนกระทำตลอดเวลา ก็เข้าข่ายของการรังแกอย่างหนึ่งเหมือนกัน
❖ 2. ผู้รังแกที่ไม่คาดคิด: ‘เด็กดี’ ที่ไม่ได้ตั้งใจ
ภาพจำของเด็กที่รังแกคนอื่นมักเป็นเด็กก้าวร้าวหรือมีปัญหา แต่ความจริงอาจซับซ้อนกว่านั้น พญ. วิมลรัตน์ ยกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ กรณีของเด็กเรียนดีที่เป็นนักเรียนตัวอย่าง แต่กลับกีดกันเพื่อนที่เรียนไม่เก่งออกจากกลุ่มทำงาน เพราะกลัวว่าคะแนนของกลุ่มจะออกมาไม่ดี พฤติกรรมนี้คือ "การบูลลี่ทางสังคม" (Social Bullying) ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเอียดอ่อนและสร้างบาดแผลทางใจได้อย่างลึกซึ้ง
ประเด็นที่ลึกซึ้งที่สุดคือเบื้องหลังความคิดของผู้กระทำ พญ. วิมลรัตน์ชี้ว่า “โดยที่ในใจของเขาไม่ได้คิดเลยค่ะว่าเขาแกล้ง เขาก็แค่คิดว่าเดี๋ยวคะแนนไม่ดี” นี่คือความจริงที่น่าตกใจว่าการบูลลี่บางรูปแบบไม่ได้เกิดจากความมุ่งร้าย แต่เกิดจากความวิตกกังวล ความกลัวความล้มเหลว และการขาดความเข้าอกเข้าใจในผลกระทบต่อจิตใจผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง
❖ 3. เบื้องหลังพฤติกรรมรังแก: เสียงร้องขอความช่วยเหลือ
แทนที่จะตัดสินเด็กที่รังแกเพื่อนว่าเป็น "เด็กไม่ดี" เราควรเปลี่ยนมุมมองเพื่อทำความเข้าใจเบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขา พญ. วิมลรัตน์ ชี้ให้เห็นว่าการที่เด็กคนหนึ่งรังแกคนอื่นไม่ใช่ทางเลือกที่เกิดจากความมุ่งร้าย แต่เป็นผลลัพธ์จากปัจจัยที่ซับซ้อนหลายอย่าง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ โดยมีสาเหตุที่เป็นไปได้ดังนี้
➢ พื้นฐานอารมณ์: เด็กบางคนอาจมีพื้นนิสัยที่ใจร้อนหรือควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีมาแต่กำเนิด
➢ แรงกดดันจากเพื่อน: ความต้องการเป็นที่ยอมรับหรือมีอำนาจในกลุ่มเพื่อน
➢ อิทธิพลจากสื่อ: การเห็นตัวอย่างความรุนแรงหรือการแกล้งกันในโซเชียลมีเดีย
➢ เคยเป็นเหยื่อมาก่อน (From Victim to Aggressor): บ่อยครั้งเด็กที่รังแกคนอื่นก็เคยถูกกระทำมาก่อน จนเกิดตรรกะที่น่าเศร้าเพื่อป้องกันตัวเองว่า “ฉันเลือกที่จะเป็นคนแข็งแรงดีกว่า ที่จะถูกคนอื่นรังแก...ผันตัวดีกว่า ปลอดภัยดี” พฤติกรรมก้าวร้าวจึงกลายเป็นเกราะป้องกันตัวที่เกิดจากบาดแผลในอดีต
พฤติกรรมเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่การกระทำที่ผิด แต่เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กที่อาจกำลังเจ็บปวดหรือขาดทักษะในการจัดการปัญหา พวกเขาต้องการคำแนะนำและการสนับสนุน ไม่ใช่แค่การลงโทษ
❖ 4. ป้องกันดีกว่าแก้ไข: พลังของ ‘พื้นที่ปลอดภัย’
การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการป้องกัน ครูทิว-ธนวัฒ สุวรรณบาล นักการศึกษาที่มีประสบการณ์ ได้แบ่งปันปรัชญาว่า ภารกิจที่สำคัญที่สุดของครูตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอม คือการสร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" (Safe Space) ในห้องเรียน ปรัชญาของครูทิวสวนทางกับแนวทางของครูจำนวนมากที่มัก “จะไปโฟกัสที่เนื้อหา” เป็นอันดับแรก แต่ครูทิวเชื่อว่า “การเซตบรรยากาศและวัฒนธรรมในชั้นเรียน สิ่งเนี่ยสำคัญมาก ๆ”
วิธีการของเขาคือการเชิญชวนให้นักเรียนร่วมกันสร้างกติกาของห้องเรียนขึ้นมาเอง เพื่อให้พวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของและรู้สึกว่าเสียงของตนเองมีความหมาย เพราะความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์คือรากฐานที่จำเป็นที่สุดสำหรับการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี หากเด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย การสอนเนื้อหาใด ๆ ก็ไร้ผล
❖ 5. กลยุทธ์ ‘แก๊ง Avenger’: พลังของเพื่อนที่เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
และเมื่อมีรากฐานของ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ที่แข็งแรงแล้ว แม้เกิดวิกฤตขึ้น ก็ยังสามารถเปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ ดังกรณีศึกษาที่ทรงพลังจากครูแพ-อรัญญา จิตติถาวร เกี่ยวกับนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ถูกกีดกันจากสังคมในห้องเรียนจนเกิด ภาวะไม่อยากมาโรงเรียน (School Refusal)
แทนที่จะจัดการปัญหาโดยลำพัง ครูแพได้ช่วยให้นักเรียนคนนั้นระบุ "กลุ่มสีเขียว" หรือกลุ่มเพื่อนที่เธอรู้สึกปลอดภัยด้วย จากนั้นจึงเชิญเพื่อนกลุ่มนี้มาพูดคุยและมอบหมายภารกิจในการเป็นระบบสนับสนุน ซึ่งเด็กๆ ตั้งชื่อกลุ่มตัวเองว่า "แก๊ง Avenger" (Avengers Gang) เพื่อนๆ ได้แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน เช่น ชวนไปทานข้าวกลางวัน หรือเดินเป็นเพื่อนระหว่างเปลี่ยนคาบเรียน
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือความมั่นใจที่กลับคืนมา นักเรียนคนนี้ซึ่งมีความสามารถด้านการแสดงแต่เคยหยุดทำกิจกรรมทุกอย่างเพราะความกลัว ได้ “เริ่มกลับมา on stage กลับมากล้าแสดงออก จับไมค์แสดง acting” อีกครั้ง
แต่บทเรียนที่สำคัญที่สุดคือการที่ครูแพใช้กรณีนี้เป็น “case study ของทุกคน” เพื่อสร้างความเข้าใจในวงกว้างว่าการกระทำของเพื่อนส่งผลกระทบที่รุนแรงเพียงใด และทุกคนมีส่วนร่วมในการป้องกันได้ ครูแพเล่าว่าหลังจากนั้น ปัญหาการบูลลี่ในระดับชั้นก็ “เงียบหายไป” เพราะวิกฤตของคนหนึ่งคนได้ถูกเปลี่ยนเป็นบทเรียนและภูมิคุ้มกันของทั้งชุมชน
☆ Conclusion: From Crisis to Compassion ☆
การรับมือกับการบูลลี่ในโรงเรียนจำเป็นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ จากการลงโทษไปสู่การป้องกัน, จากการตัดสินไปสู่ความเข้าอกเข้าใจ และจากการมองข้าม "เรื่องเล็กน้อย" ไปสู่การสร้างวัฒนธรรมของชุมชนที่เข้มแข็งและเกื้อกูลกัน ท้ายที่สุดนี้จึงอยากทิ้งคำถามไว้ให้เราทุกคนได้ขบคิด "เราจะเริ่มสร้าง 'พื้นที่ปลอดภัย' ในบ้าน โรงเรียน และชุมชนของเราได้อย่างไร ก่อนที่เสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งจะเงียบหายไป?"
โดย : ทีมภารกิจจัดการองค์ความรู้และนวัตกรรม สำนักวิชาการสุขภาพจิต
ที่มา : Facebook กรมสุขภาพจิต บรรยายพิเศษ "กิจกรรม Kick Off สัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติ ประจำปี 2568" 3 พ.ย. 2568 https://www.facebook.com/THAIDMH/videos/839115868618203