Last updated: 6 พ.ย. 2568 | 197 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อพูดถึง "สุขภาพจิต" หลายคนอาจยังนึกถึงภาพจำเก่าๆ ที่เป็นเรื่องไกลตัว น่ากลัว หรือเป็นเรื่องที่ถูกตีตราในสังคม สมัยก่อนเราอาจเคยเห็นภาพในละครที่ตัวร้ายมักจะไปจบลงที่ "หลังคาแดง" (โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา) บทสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพจิตจึงมักถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ และถูกมองว่าเป็นเรื่องของผู้ที่ "เจ็บป่วย" เท่านั้น
แต่ในปัจจุบัน ความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตของเราได้วิวัฒนาการไปไกลกว่านั้นมาก เรากำลังก้าวข้ามกรอบความคิดแบบเดิมๆ ที่แบ่งคนออกเป็นแค่ "ป่วย" กับ "ไม่ป่วย" ไปสู่มุมมองใหม่ที่ลึกซึ้งและสร้างพลังให้เราสามารถดูแลจิตใจของตัวเองได้อย่างแท้จริง บทความนี้จะกลั่น 5 ประเด็นสำคัญสุดเซอร์ไพรส์จากการบรรยายของ ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ ผู้อำนวยการสำนักความรอบรู้สุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต ที่จะมอบกรอบความคิดใหม่ในการมองและสร้างเสริมสุขภาวะทางใจของคุณไปตลอดกาล
❖ 1. สุขภาพจิตดี ไม่ใช่แค่ "การไม่ป่วย"
ความคิดแรกที่เราต้องทลายลงคือ สุขภาพจิตที่ดีไม่ใช่แค่การไม่มีโรคทางจิตเวช เพราะในความเป็นจริง คนที่ไม่ได้ป่วยก็อาจจะไม่ได้มีสุขภาพจิตที่แข็งแรงเสมอไป แนวคิดสมัยใหม่ที่เรียกว่า "Dual Continua Model" ได้เข้ามาปฏิวัติความเข้าใจนี้ โดยมองว่าสุขภาพจิตประกอบด้วย 2 แกนที่แยกจากกันอย่างชัดเจน
แกนแรกคือแกนของการเจ็บป่วย (ป่วย/ไม่ป่วย) และอีกแกนคือสุขภาวะทางจิต (ดี/ไม่ดี) ลองนึกภาพตามนักกีฬาที่แข็งแรงมากแต่โชคร้ายประสบอุบัติเหตุแขนหัก (ป่วย แต่พื้นฐานร่างกายแข็งแรง) เทียบกับคนร่างกายอ่อนแอที่นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้บาดเจ็บอะไร (ไม่ป่วย แต่พื้นฐานร่างกายอ่อนแอ) จะเห็นว่าการ "ไม่ป่วย" ไม่ได้แปลว่ามีสุขภาวะที่ดีเสมอไป สุขภาพจิตก็เช่นกัน โมเดลนี้ทรงพลังเพราะมันได้แยก "การป่วย" ออกจาก "สุขภาวะ" ทำให้เห็นว่าแม้แต่คนที่กำลังต่อสู้กับโรค ก็ยังสามารถสร้างความแข็งแกร่งทางใจได้ เหมือนนักกีฬาที่บาดเจ็บแต่ยังคงฟื้นฟูร่างกายส่วนอื่นให้แข็งแรง มันมอบเส้นทางสู่การพัฒนาให้เราทุกคน ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของเราจะเป็นอย่างไร
ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดที่เราทุกคนควรไปให้ถึง คือภาวะที่เรียกว่า Flourishing (ภาวะสุขสมบูรณ์) ซึ่งหมายถึงการมีสุขภาวะทางจิตในระดับสูง และ ปราศจากการเจ็บป่วย นี่คือเป้าหมายใหม่ที่วงการสุขภาพจิตทั่วโลกกำลังมุ่งไป
❖ 2. ยุคนี้ "ความรู้" ไม่พอ ต้องมี "ความรอบรู้" (Literacy)
เมื่อเข้าใจเป้าหมายใหม่แล้ว คำถามคือเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? ในอดีต คำตอบอาจเป็นการรับ "ความรู้" (Knowledge) จากผู้เชี่ยวชาญ แต่ในโลกยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แค่มีความรู้อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
"เขาเชื่อว่าความรู้ที่มันถูกอัปเดตในช่วง 10 ปี ก่อนหน้า นี้ เนี่ย มันถูกอัปเดตเทียบเท่ากับไป 1 ปี ในช่วงนี้เท่านั้นเอง"
ดร.นพ.วรตม์ ได้ย้ำเตือนว่า ในยุคนี้หากคุณหยุดอัปเดต ความรู้ที่มีก็จะล้าหลังอย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่เราต้องเปลี่ยนจากการเสพข้อมูลความรู้แบบเดิมๆ ไปสู่การสร้างเครื่องมือชิ้นใหม่ที่จำเป็นกว่า นั่นคือ "ความรอบรู้สุขภาพจิต" (Mental Health Literacy) ซึ่งไม่ใช่แค่เนื้อหา แต่เป็น สมรรถนะ (Competency) หรือทักษะที่ติดตัว เป็นเหมือน ทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่
❖ 3. ถอดรหัสสมรรถนะแห่งอนาคต ด้วยโมเดล 4A
แล้ว "ความรอบรู้" ที่เป็นทักษะสำคัญนี้ เราจะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร? กรมสุขภาพจิตได้สรุปออกมาเป็นโมเดล 4A ซึ่งเป็น 4 สมรรถนะสำคัญแห่งอนาคต ดังนี้
★ Access (รู้เข้าถึง): คือความสามารถในการค้นหาแหล่งข้อมูลและความช่วยเหลือที่เชื่อถือได้ เช่น รู้จักสายด่วนสุขภาพจิต 1323, เว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิต หรือช่องทางโซเชียลมีเดียที่เป็นทางการ
★ Acquire (รู้เข้าใจ): คือความสามารถในการทำความเข้าใจเนื้อหาที่ได้รับมา รวมถึงเข้าใจปัจจัยเสี่ยงของตนเอง โดยปราศจากอคติที่อาจบดบังความจริง
★ Appraise (รู้ประเมินได้): คือทักษะสำคัญในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล (แยกแยะข่าวจริงจากข่าวปลอม) และประเมินว่าทางเลือกในการดูแลสุขภาพจิตแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวเอง
★ Apply (รู้ใช้งานเป็น): คือการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งทำได้ทั้งในเชิงรุก (Proactive) เช่น การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตด้วยการออกกำลังกาย จัดการความเครียด และเชิงรับ (Reactive) เช่น การไปพบผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกไม่สบายใจ รวมถึงการนำไปใช้ดูแลคนรอบข้างและแบ่งปันความรอบรู้ให้ผู้อื่นด้วย
❖ 4. โซเชียลมีเดีย: ผู้เปลี่ยนเกมที่ทำให้เรากล้าพูดเรื่องสุขภาพจิต
ในโลกที่โซเชียลมีเดียมักถูกมองว่าเป็นตัวการทำลายสุขภาพจิต ดร.นพ.วรตม์ ได้นำเสนอความจริงอีกด้านที่น่าประหลาดใจว่า "ต้องขอบคุณสื่อโซเชียลมีเดีย" เพราะมันคือหนึ่งในพลังขับเคลื่อนเชิงบวกที่ทรงพลังที่สุดในการเปลี่ยนแปลงเรื่องสุขภาพจิต
ในอดีต การสื่อสารเรื่องนี้เป็นไปในวงแคบและเป็นทางเดียว แต่โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ทลายกำแพงนั้นลง ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ความรู้สึก และประสบการณ์ในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้ได้ช่วยปรับเปลี่ยน "บรรทัดฐานทางสังคม" (Social Norm) เกี่ยวกับสุขภาพจิตอย่างมหาศาล ทำให้การพูดถึงภาวะซึมเศร้าที่เคยเป็นเรื่องยากเมื่อ 10-20 ปีก่อน กลายเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับและเข้าใจได้มากขึ้น ซึ่งช่วยลดการตีตราได้อย่างมีนัยสำคัญ
❖ 5. เป้าหมายใหม่ไม่ใช่แค่ "อายุยืน" แต่คือ "Mental Health Span" ที่ยืนยาว
แล้วจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คืออะไร? เป้าหมายสูงสุดของการสร้างความรอบรู้สุขภาพจิตไม่ใช่แค่การมีชีวิตที่ยืนยาว แต่คือการมี "Mental Health Span" ที่ยืนยาวที่สุด
"Mental Health Span" หมายถึง ช่วงเวลาของชีวิตที่เราได้ใช้อย่างมีสุขภาพจิตที่ดี ปราศจากภาวะบกพร่องหรือปัญหาทางจิตใจที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต เหมือนกับที่ "Health Span" คือการมีชีวิตที่สุขภาพกายแข็งแรงให้นานที่สุด "Mental Health Span" ก็คือการยืดช่วงเวลาที่เรามีสุขภาพจิตที่ดีให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนี่คือเทรนด์แห่งอนาคตที่ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับสุขภาวะของมนุษย์ ท้ายที่สุดแล้ว "Mental Health Span" ก็คือรางวัลสูงสุด มันคือผลลัพธ์โดยตรงของการก้าวข้ามกรอบคิดแค่ "ไม่ป่วย" การสร้าง "ความรอบรู้" ด้วยโมเดล 4A และการมุ่งหน้าสู่ "ภาวะสุขสมบูรณ์" อย่างแท้จริง
สุขภาวะทางใจคือทักษะที่คุณสร้างได้
จากทั้ง 5 ข้อนี้ จะเห็นได้ว่ามุมมองต่อสุขภาพจิตได้เปลี่ยนจากการเป็นเพียงสภาวะ "ป่วยหรือไม่ป่วย" ที่เราทำได้แค่รอรับมือ ไปสู่การเดินทางที่ต้องใช้ทักษะเชิงรุกในการสร้าง "ความรอบรู้" เพื่อมุ่งสู่ "ภาวะสุขสมบูรณ์" แนวคิดเหล่านี้มอบพลังให้เราทุกคนสามารถเป็นผู้กำหนดและสร้างเสริมความแข็งแกร่งทางใจของตนเองได้อย่างแท้จริง
วันนี้ คุณได้เริ่มสร้าง 'ความรอบรู้' และยืด 'Mental Health Span' ของตัวเองและคนรอบข้างแล้วหรือยัง?
โดย : ทีมภารกิจจัดการองค์ความรู้และนวัตกรรม สำนักวิชาการสุขภาพจิต
ที่มา : Facebook กรมสุขภาพจิต บรรยายพิเศษ "กิจกรรม Kick Off สัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติ ประจำปี 2568" 3 พ.ย. 2568 https://www.facebook.com/THAIDMH/videos/839115868618203