Last updated: 8 พ.ย. 2568 | 42 จำนวนผู้เข้าชม |
เคยรู้สึกไหมว่าข้อมูลเรื่องสุขภาพจิตมีอยู่เต็มไปหมดจนท่วมท้น แต่กลับไม่รู้ว่าจะเชื่อแหล่งไหน หรือควรจะเริ่มต้นดูแลตัวเองอย่างไรดี? ท่ามกลางทะเลข้อมูลข่าวสารที่ถาโถมเข้ามาทุกวัน หลายครั้งเราพบว่าตัวเองมี “ความรู้” มากมาย แต่อาจยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับใจของเราหรือคนรอบข้างได้อย่างที่ควรจะเป็น
บทความนี้จะกลั่นเอาแนวคิดที่สำคัญและน่าทึ่งที่สุดจากบทสนทนากับ นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต และนายกสมาคมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพไทย เพื่อไขคำตอบว่าทำไมแค่ “มีความรู้” ถึงไม่เพียงพอ และอะไรคือ “ความรอบรู้” ซึ่งเป็นชุดทักษะที่จำเป็นอย่างแท้จริงในการดูแลใจในยุคนี้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการหาข้อมูล แต่คือการเรียนรู้ที่จะ 'ฟัง' อย่างมีวิจารณญาณ, 'เลือก' อย่างมั่นใจ และ 'ลงมือทำ' เพื่อใจของเราอย่างแท้จริง
❖ 1. "ความรู้" กับ "ความรอบรู้" ไม่เหมือนกัน (และอย่างหลังสำคัญกว่าเยอะ)
หลายคนอาจคิดว่าสองคำนี้มีความหมายเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วมีความแตกต่างที่สำคัญอย่างยิ่ง นพ.วชิระ ได้อธิบายไว้อย่างเห็นภาพโดยใช้ตัวอย่างเรื่อง "โรคซึมเศร้า"
★ ความรู้ (Knowledge) คือ การรับรู้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง เช่น รู้ว่าอาการของโรคซึมเศร้าคืออะไร มีอาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดกำลังใจ หรือไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
★ ความรอบรู้ (Literacy) คือ ทักษะ ในการนำความรู้นั้นไปใช้ประโยชน์เพื่อตัดสินใจและจัดการกับปัญหาได้จริง เช่น เมื่อรู้ว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเข้าข่ายโรคซึมเศร้าแล้ว จะสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินทางเลือก และตัดสินใจไปพบแพทย์ได้อย่างเหมาะสม
สรุปให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น “ความรอบรู้” คือชุดของทักษะ 4 ประการ (4A’s) ที่เป็นหัวใจสำคัญ ได้แก่:
➢ เข้าถึง (Access): ความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ เช่น รู้ว่าจะใช้สมาร์ทโฟนค้นหาข้อมูลโรคซึมเศร้าจากเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิตได้อย่างไร
➢ เข้าใจ (Acquire/Understand): ความสามารถในการอ่านและตีความข้อมูลนั้นๆ เช่น อ่านข้อมูลอาการแล้วเข้าใจว่าภาวะของเราเข้าข่ายที่ต้องได้รับการดูแล
➢ ประเมิน (Appraise): ความสามารถในการประเมินว่าข้อมูลนั้น "ชัวร์หรือมั่ว" เช่น มั่นใจว่าข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตน่าเชื่อถือกว่าข้อความที่ส่งต่อกันมาในไลน์
➢ ประยุกต์ใช้ (Apply): ความสามารถในการนำข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองแล้วไปปฏิบัติจริง เช่น ตัดสินใจจากข้อมูลว่าควรไปพบแพทย์ และเลือกไปโรงพยาบาลใกล้บ้านได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งเรารู้ทุกอย่างแต่กลับจัดการปัญหาไม่ได้ เพราะเราอาจจะขาดทักษะข้อใดข้อหนึ่งใน 4 ข้อนี้ไปนั่นเอง และอย่างที่เราจะเห็นต่อไป อุปสรรคไม่ได้มีแค่เรื่องข้อมูล แต่ยังรวมถึงความเชื่อในใจเราและสังคมรอบข้างด้วย
❖ 2. คุณไม่จำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้ ก็ "รอบรู้" ได้
นี่คือหนึ่งในแนวคิดที่น่าทึ่งและทรงพลังที่สุด เพราะมันทลายกำแพงความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าความรอบรู้เป็นเรื่องของคนที่มีการศึกษาสูงเท่านั้น
นพ.วชิระ ชี้ให้เห็นว่า “ความรอบรู้” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ "ทักษะทางปัญญา" (Cognitive Skills) เช่น การอ่านออกเขียนได้ หรือการใช้เทคโนโลยี แต่ยังรวมถึง "ทักษะทางสังคม" (Social Skills) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังไม่แพ้กัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ "คุณย่าคุณยายที่อ่านหนังสือไม่ออก แต่สามารถกินยาได้ถูกต้อง เพราะใช้วิธีถามไถ่จากเพื่อนบ้านหรือลูกหลาน" สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการสื่อสาร การปรึกษา และการขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้ใจ ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการเข้าถึงและประยุกต์ใช้ข้อมูล ซึ่งถือเป็นความรอบรู้ที่สำคัญอย่างยิ่ง
นี่คือแนวคิดที่ปลดล็อกและให้กำลังใจเราอย่างมหาศาล เพราะมันยืนยันว่าเราทุกคนสามารถสร้างความรอบรู้ได้ในแบบของตัวเอง และการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่ไว้ใจได้ก็สำคัญไม่แพ้การค้นหาข้อมูลด้วยตัวเองเลย
❖ 3. อุปสรรคใหญ่สุดไม่ใช่ 'ความไม่รู้' แต่คือ 'การตีตรา'
ในบริบทของสุขภาพจิต ความท้าทายที่ใหญ่กว่าการขาดความรู้คือ "การตีตรา" (Stigma) และ "การแบ่งแยก" (Discrimination) ซึ่งเป็นกำแพงที่มองไม่เห็นแต่กลับขวางกั้นผู้คนจากการเข้าถึงการดูแลรักษา
นพ.วชิระ กล่าวว่า สังคมมักมีความเชื่อผิด ๆ ที่มองว่าอาการซึมเศร้าเป็นเรื่องของความอ่อนแอ สำออย หรือขี้เกียจ ความเชื่อเหล่านี้สร้างบาดแผลและทำให้ผู้ที่มีอาการไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนหรือขอความช่วยเหลือ นพ.วชิระชี้ว่าอุปสรรคนี้สอดคล้องกับสิ่งที่องค์การอนามัยโลกเคยรณรงค์ไว้ และกรมสุขภาพจิตได้นำมาปรับใช้เป็นคำขวัญที่ทรงพลังว่า:
หยุด กีด กั้น มุ่ง มั่น กล้า ดู แล
การจะทลายกำแพงนี้ได้ต้องเริ่มจากกลุ่มคนสำคัญ 3 กลุ่ม คือ:
➢ ทีมบุคลากรสาธารณสุขเอง: ที่ต้องมีความเข้าใจและไม่ตีตราผู้ป่วย
➢ เครือข่ายในชุมชน: เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นเหมือนด่านหน้าในชุมชน
➢ กลุ่มผู้ที่เคยอยู่กับปัญหา: หรือผู้มีประสบการณ์ตรงที่ผ่านพ้นมาได้แล้ว กลุ่มนี้สำคัญที่สุด เพราะพวกเขาคือ 'บทพิสูจน์ที่มีชีวิต' (living proof) ว่าปัญหาสุขภาพจิตสามารถจัดการได้ และเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังที่สุดในการลดการตีตราในสังคม
❖ 4. ยุคนี้...ทักษะที่สำคัญที่สุดคือการแยกแยะ "ชัวร์หรือมั่ว"
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า 'ความรอบรู้' คือชุดทักษะ 4 ประการ ความท้าทายในยุคนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ข้อแรก (การเข้าถึง) อีกต่อไป แต่อยู่ที่ทักษะข้อที่สามอย่าง 'การประเมิน' อย่างเต็มตัว นพ.วชิระ เรียกภาวะที่เรากำลังเผชิญว่า "Infobesity" หรือ "Info-pandemic" ซึ่งคือสภาวะที่ข้อมูลมีมากเกินไปจนท่วมท้น ทำให้ปัญหาใหญ่คือการประเมินว่าข้อมูลไหนเชื่อถือได้
ท่ามกลางข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามา การจะแยกแยะว่าอะไร "ชัวร์หรือมั่ว" กลายเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง นพ.วชิระ ได้ให้คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมและนำไปใช้ได้ทันที คือการเลือกเชื่อถือข้อมูลจากแหล่งที่อ้างอิงได้ โดยเฉพาะองค์กรภาครัฐหรือหน่วยงานวิชาการที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น หากเป็นเรื่องสุขภาพจิต ก็ควรยึดข้อมูลจาก "กรมสุขภาพจิต" เป็นหลัก เพราะเป็นข้อมูลที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วว่าถูกต้องและเชื่อถือได้
ในโลกที่ทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างคอนเทนต์ได้ การฝึกฝนทักษะการตั้งคำถามและตรวจสอบแหล่งที่มาจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทักษะการเอาตัวรอดที่จำเป็นสำหรับทุกคน
บทสรุปส่งท้าย
จากทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า "ความรอบรู้" ไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เป็นชุดทักษะที่ทุกคนสามารถฝึกฝนและพัฒนาให้ดีขึ้นได้ตลอดชีวิต ความรอบรู้คือการทวงคืนอำนาจในการดูแลใจกลับมาไว้ในมือเรา คือการเปลี่ยนจากผู้รับข้อมูลที่ถูกคลื่นซัด ไปเป็นนักเดินทางที่ใช้ข้อมูลเป็นแผนที่นำทาง เมื่อได้รู้เช่นนี้แล้ว ก้าวแรกที่คุณจะลงมือทำเพื่อยกระดับ "ความรอบรู้" ด้านสุขภาพใจของตัวเองและคนรอบข้างในวันนี้คืออะไร?
โดย : ทีมภารกิจจัดการองค์ความรู้และนวัตกรรม สำนักวิชาการสุขภาพจิต
ที่มา : Facebook กรมสุขภาพจิต บรรยายพิเศษ "กิจกรรม Kick Off สัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติ ประจำปี 2568" 5 พ.ย. 2568 https://www.facebook.com/THAIDMH/videos/839115868618203